วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

Welcome To Cheerleading NHC Team

    SWAN TEAM ^^
 สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่ โลกของ Cheerleader หรือ Cheerleading นะคับ ซึ่งผมได้เป็นลีดตั้งแต่สมัยม.ปลาย ซึ่งการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ครั้งแรกนั้น บอกได้เลยว่า เหนื่อยสุด ๆ แต่ก็ต้องทำ เพราะ ออกไม่ได้ แล้วเราก็เป็นความหวังของทีม ผมเลยสู้ จนทำได้ดี และเก่งเกือบที่สุดในทีม ตอนปี2009 ซึ่งเป็นปีที่2ของการเต้นของผม นับว่าผมพยายามมาก เพราะอย่างน้อยอย่างต่ำก็3-4ปีแหล่ะคับ ถึงจะได้ตีลังการ ได้ยกยอดที่เป็นยอดข้างบน ซึ่งผมก็เหนื่อยมาก แต่ผมก็ยังทนได้



ครั้งแรกที่ผมเป็นลีดนะคับ วันแรกที่เข้าไปซ้อม ก็ได้วอร์มหนักเลยเพราะจะได้สร้างกล้ามเนื้อทุกส่วนโดยเฉพาะขากับแขน เพราะต้องใช้งานอย่างหนัก แล้วก็ยังวอร์มสำหรับภายในเพื่อให้หัวใจฝึกทำงานหนักเพราะในเวลาแข่ง เราจะหายใจไม่สะดวกแล้วก็เหนื่อย แค่ในเวลา2.30นาทีกำทำให้หอบแล้วคับ
และหลังจากที่ผมได้วอร์มหนักแล้วร่างกายผมก็ยังต้องเจอกับความเจ็บแล้วก็ปวดของกล้ามเนื้อ เพราะ
การวอร์มหนักทำให้สร้างกล้ามเนื้ออย่างรวดเร้ว หลังจากนั้นผมก็ได้เริ่มฝึกการยกยอดแล้วก็ฝึกการตีลังกาหรือยิมนาสติก เพราในการแข่ง เราต้องเรียนตีลังกา การยกยอด เต้น แอคติ้ง แล้วก็ฟีลลิ่งอีกด้วยแล้ะผมว่าการที่เรียนเรียนสิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมสนุกและตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยได้เรียนสิ่งเหล่า
นี้มาก่อนเลย


และหลังจากที่เรียนอะไรเสร้จก้จะเริ่มกับต่อตัวเซทแรกซึ่งในการแข่งจะมีต่อตัว3เซท มีเต้น2เซท มียิมนาสติก1เซท และมีโมชั่น1เซท ซึ่งการต่อตัวเซทแรกนั้นถือว่ายากสำหรับผมมาก เพราะต้องทำให้คนดูประทับใจตั้งแต่เปิดเพลง จึงทำให้ทุกคนมนทีมเครียดกับการซ้อมมาก แต่ในการซ้อม ยิ่งเครียดยิ่งพลาดคับ ฉะนั้นเราต้องสนุกสนานกับมัน ทำให้มันท้าทายที่สุดเท่าที่จะท้าทายได้และการซ้อมก้เป้นไปอย่างราบรื่น แต่ก็จะมีความตึงเครียดเกิดขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายก่อนแข่ง
เพราะทุกคนต้องทุ่มเทให้กับการซ้อมเป้นอย่างหนัก(ในการซ้อมอย่างต่ำต้องซ้อมทุกวันเป้นเวลา2-3เดือน)และต้องทนกับทุกอารมณ์ของตัวเอง และในที่สุดถึงวันแข่ง Seacon Square Cheerleading Thailand Championship 2009 รอบชิงชนะเลิศ ก็ทำให้ผมภูมิใจกับการได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งหรือที่สองระดับประเทศนั่นเอง ซึ่งจะได้รับเงินสด 200000 บาท และ ถ้วยรางวัลพระราชธาน
ตามธรรมเนียม หลังจากจบไดอารี่ท่องเที่ยวในแต่ละทริป
เราจะต้องมาเก็บตกรายละเอียดร้านอาหารต่างๆ ระหว่างทริปแยกไว้
เพื่อแบ่งปันข้อมูล รวมถึงเป็นการอ้างอิงส่วนตัว ในภายหลัง
@ LOTUS RESTAURANT @


หาดบางเทา ~ ภายใน Laguna
จ.ภูเก็ต


เรารู้จักร้านนี้ จากการแนะนำของพนักงานโรงแรม
เนื่องจากว่าทางร้านอำนวยความสะดวก มีรถรับ-ส่งแขกฟรี
ภายในโรงแรมต่างๆ บริเวณ
Laguna Phuket
แถมพนักงานโรงแรม ยังช่วยโทรไปสำรองที่นั่ง
และเรียกรถรับให้เสร็จสรรพ

สำหรับเราซึ่งไม่ได้เช่ารถไว้ จะออกไปทานข้างนอกก็ลำบาก
จะทานในโรงแรม ราคาก็แสนจะแพง
นับว่า เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ถึงแม้ราคาอาหารจะแอบแพงนิดหน่อย
(คิดซะว่า เขาบริการรถรับ-ส่งฟรี ก็แล้วกัน)

ร้านอาหารแห่งนี้ ... ตั้งอยู่ติดชายหาด”บางเทา” ค่ะ
ตัวร้านเพดานสูงโปร่ง ทำให้รับลมทะเลได้ดี ถึงแม้จะนั่งโต๊ะด้านใน



มีตู้ปลา – กุ้ง – หอย – ปู อยู่ด้านหน้าร้าน พร้อมป้ายราคา
สามารถเลือกตัวที่ต้องการ ให้เขาชั่งน้ำหนัก
เพื่อปรุงตามเมนูที่ต้องการ

อาหารทะเล ... เรียกว่าสดจริงๆ
Smile


++ Lobster กก.ละ 2,900 บาท ++

++ ตัวใหญ่มากๆ ++

สำหรับเราแล้ว ... เราไม่ได้เลือกสั่งอาหารทะเลแบบชั่งน้ำหนัก
แต่เลือกตามรายการเมนูที่มีอยู่
ได้มาตามนี้

1) หอยนางรมอบชีส (195.- บาท)
นับว่าเป็นเมนูแปลกที่ไม่เคยทานมาก่อน แต่อร่อยถูกใจมาก
v
v


2) กุ้งชุบแป้งทอด (190.- บาท)
กุ้งสด เนื้อแน่น คุณภาพดี
v
v


3) แกงเผ็ดเป็ดย่าง (180.- บาท)
ออกสไตล์ฝรั่ง รสชาติไม่จัดจ้านมากนัก
v
v


สนนราคาอาหาร ถือว่าค่อนข้างแพงเล็กน้อย ถ้าเทียบกับปริมาณที่ได้
แต่ราคาถือว่ารับได้ เพราะที่ภูเก็ตอาหารการกินแพงเป็นปกติ

เคยเจอ”ข้าวราดผัดผัก+ไข่ดาว” ที่
Food Court ใน Jungcelon ไป
จานละ 100 บาท ... รู้สึกเข็ดยิ่งกว่านี้อีก
เลยถือว่ารับได้ กับราคานี้ ในร้านอาหารระดับนี้

แต่เมนูแค่ 3 อย่าง ชั่งน้อยนิดเกินไป
ทานไม่อิ่ม เลยต้องต่อกันที่เมนู 4 – “ไก่ห่อใบเตย” (160.- บาท)

พ่อหมีชอบน้ำจิ้มจานนี้เป็นพิเศษ
เพราะรสชาติเหมือนซอสเทริยากิ
v
v


รสชาติอาหารถือว่าใช้ได้
การบริการโอเคอยู่ ถึงแม้ว่าจะคนแน่นร้านก็ตามที (อาจจะช้าเล็กน้อย)

บรรยากาศริมหาดใกล้ๆร้าน มีพลุ-โคมลอยขาย
ถ้าใครกลัวพลุ ก็ไม่แนะนำค่ะ

สนนราคา ค่าเสียหายมื้อนี้ รวมข้าวเปล่า 3 จาน และเครื่องดื่ม
มีบวกค่า
service charge
เพิ่มนิดหน่อย
ตกอยู่ที่ 902.- บาท

เสียดาย ... ทาน
cocktail
ไม่ได้
รายการเครื่องดื่ม ก็ถือว่าหลากหลายทีเดียว (อยากลองอยู่)



แต่ยังไง ... ก็ราคาถูกกว่ากินที่โรงแรมอ่ะนะ
ไม่งั้นคงกระเป๋าฉีกก่านี้ อิ อิ
^^

@ ตลาดน้ำอโยธยา @


เริ่มต้นจาก
”ตลาดน้ำอโยธยา”
วันนี้ คนเยอะพอคึกคัก ... แต่ไม่ถึงกับเบียดเสียดจนเดินไม่ได้
เหมือนกับช่วงวันหยุดวันแม่ ที่ผ่านมา

ตอนมาถึง ลงจากรถมา พ่อหมีบอกว่าดี ที่แดดไม่ร้อน
ท้องฟ้าหม่นๆ ครึ้มฝนอยู่ตลอด

แต่พอเดินจริงๆ มันร้อนแบบอบอ้าวมากๆเลย
ทำให้เหนื่อยง่ายกว่าเดิมอีก
T.T

++ เดินไปไม่ทันไร ได้ไอติมก่อนเลย ++

เป้าหมายหลักๆ ... คือ หาของกินค่ะ
ส่วนพวกร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะเสื้อผ้า จำต้องผ่านไปก่อน
เพราะตอนนี้ ซื้อไปก็ใส่ไม่ได้




ชุดเด็กๆน่ารักๆ พอมีบ้างค่ะ
แต่ก็เช่นกัน รอไปก่อน ... จนคุณลูกหมีพอจะเดินได้โน่นเลย

โซนอาหารการกิน ... มีมุมที่นั่งกับพื้น และซื้อของกินจากเรือได้
แต่เราจำต้องผ่านอีกล่ะค่ะ เพราะไม่สะดวกนั่งพื้นเท่าไหร่



จนไปถึงมุมที่มีโต๊ะอาหาร คนเยอะมากกกก
จนจำต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกันอีกแล้ว
T^T

การจราจรบริเวณนี้ก็ไม่สะดวกเท่าไหร่
เพราะมีโต๊ะอาหารมาตั้ง ... ไหนจะคนยืนรอคิวอีก
คนเดินผ่านไป-มา ไม่สะดวกเอาซะเลย

พอหาที่นั่งได้ ก็เลยต้องเลือกร้านใกล้ๆโต๊ะ เพื่อความสะดวก
เพราะเดินไป-เดินมา เลือกซื้อคงไม่ไหว

เลยได้ “รวมมิตรทะเลทอด” มา 1 จาน
ส่วนพ่อหมีได้ “ก๋วยเตี๋ยวเรือ”

ไม่อิ่มหรอก (และไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่)
ทานกันแบบประทังความหิวชั่วคราว ไปหาซื้ออย่างอื่นต่อ

++ เหมือนทะเลผัดถั่วงอก แล้วโปะด้วยไข่เจียวมากกว่า ++


ได้ของกินติดไม้-ติดมือกลับบ้านมาบ้าง
ขอชมว่า ทองม้วนสดที่นี่อร่อยค่ะ ... ยำผลไม้ก็อร่อยด้วย
ซื้อกลับบ้านมา ไม่ผิดหวัง
^^
แวะนั่งพัก ทานไอศกรีมปั่นเย็นๆ ให้คลายร้อนนิดหน่อย
สักพัก ... เดินไปเจอร้านน้ำแข็งไสอีก
อยากทาน แต่อิ่มจนไม่ไหวแล้ว



ที่นี่ มีมุมร้านนวด และสปาปลาด้วย
แต่เพราะพุงโตๆของแม่หมี ... จำต้องผ่านเลยไปตามเคย
T.T

((แวะมา 2 รอบแล้ว ยังไม่เคยได้ดูการแสดงเขาเลย))



@ ตลาดโก้งโค้ง บ้านแสงโสม @
เปิดทุกวันพฤหัส – วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
เวลา 0900-1600 น.

เดิมที ... ตั้งใจจะแวะ “ตลาดน้ำคลองสระบัว” ต่อ
ถ้าแวะไป ก็คงต้องอยู่ยาว และทานอาหารกลางวันกันที่นั่น

แต่เรามีร้านเป้าหมายในใจแล้ว
ก็เลยขอผ่านไปก่อนดีกว่า

ใช้เส้นทางมุ่งหน้าสู่ “บางปะอิน” ผ่าน
”วัดพนัญเชิงวรวิหาร”
เลยถือโอกาสแวะทำบุญอุทิศส่วนกุศล
ให้กับคนที่มาเข้าฝันขอส่วนบุญ ที่พัทยา เมื่อปลายเดือนก.ค.สักหน่อย

ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักกัน
แต่เขาส่งจิตถีงเราได้ ก็คงต้องมีอะไรบางอย่างล่ะนะ

((กลับมาวันเสาร์ ...
วันจันทร์ที่ 23 ส.ค. ในรายการหลวงพี่มาแล้ว พูดถึงเรื่องนี้พอดี
ท่านบอกว่า ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ให้แผ่เมตตาไปให้เขาด้วย))

จากวัดพนัญเชิง ... จะผ่าน
“ตลาดโก้งโค้ง บ้านแสงโสม” อีกที่
เลยถือโอกาสลงไปเดินแวะเที่ยวหน่อย
ได้ยินชื่อมานาน แต่ไม่เคยแวะสักที

ที่นี่ ... จะเป็นตลาดแบบชาวบ้าน วางขายของกับพื้น หรือโต๊ะเตี้ยๆ
คนซื้อก็ต้องนั่งยองๆ หรือก้มหยิบดู
((ซึ่งก็ไม่สะดวกสำหรับคนท้องโตอย่างเราอีกนั่นแหละ))



มีทั้งขนมเก่าๆ ... เครื่องดินเผา ... และตะกร้าสาน
พวกเครื่องสานที่นี่ มีแบบให้เลือกเยอะ และราคาไม่แพงเลย
มีทั้งเข่ง ... ตระกร้อสอยผลไม้ ... ชะลอม
ฯลฯ

ของบางอย่าง เคยเห็นตั้งแต่ยังเด็ก จนเกือบลืมไปแล้ว
แต่ไม่น่าเชื่อ ว่าจะได้มาเห็นอีกครั้งที่นี่



แล้วเราก็ได้
”เข่งใส่ขยะ”มา 1 ชิ้น ราคา 80 บาท
หาตั้งนาน แถวบ้านมีขายแต่แบบพลาสติก
ซึ่งเราไม่อยากได้ ... เพราะทิ้งไว้ในตู้ขยะร้อนๆ นานๆ
เกรงว่าพลาสติกจะกรอบจนพังซะหมด

ส่วนอาหารการกิน ที่นี่ ... ส่วนตัวขอผ่าน
ดูไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่
@ ร้านต้นน้ำ ริเวอร์วิว @

จากตลาดโก้งโค้ง ... มาต่ออีกประมาณ 10 กม.
จนถึง “พระราชวังปะอิน” อีกรอบ

ไม่ไกลกันเท่าไหร่
ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เราก็มาถึงร้านอาหารเป้าหมาย
“ร้านต้นน้ำ ริเวอร์วิว”
มารอบก่อนแล้วไม่ได้ทาน เพราะคิวยาวมากกก
วันนี้ มีโต๊ะว่างแบบสบายๆเลย

แต่โดยบรรยากาศแล้ว ถึงแม้จะอยู่ติดริมน้ำ
ยังไม่โดนใจเราเท่าไหร่ค่ะ

เพราะเราดันเลือกนั่งบนโป๊ะ ซึ่งมีเรือหางยาววิ่งไป-มา
ผลคือ โป๊ะจะโคลงเคลงเป็นพักๆ

อีกอย่าง ... รำคาญเสียงเรือหางยาวมากกกก
หนวกหู จนทำให้เซ็งอารมณ์
><


เอาเถอะ ยังไงก็ได้หม่ำ “กุ้งแม่น้ำเผาตัวใหญ่ มันเยิ้มๆ”
สมใจอยากสักที



ลงรูปยั่วน้ำลาย ทิ้งไว้แค่นี้ก่อน


เป็นอันจบทริปใกล้บ้าน ... แบบย้อนรอยเดิม
ปีนี้ แวะมาอยุธยา 4-5 ครั้งแล้วมั๊งเนี่ย
มาบ่อย (เพื่อกินกุ้ง) จริงๆ
^^”
กาดหมั้ว @ ซีคอน สแควร์ *~ 27 สิงหาคม – 5 กันยายน 2553ณ บริเวณลานน้ำพุ



งานนี้ ... จัดต่อเนื่องกันมา ปีนี้เป็นปีที่ 7 แล้ว
เน้นอาหารการกินของภาคเหนือ มีการจำลองบรรยากาศ ตลาดแบบพื้นเมือง

มีการแสดงดนตรี “สะล้อ ซอ ซึง” บนเวที
พร้อมเสื่อปูนั่งกับพื้น และโตก
((ก่อนกลับ มีการแสดง ”กลองสะบัดชัย” ด้วย))



คนขายของเป็นคนเหนือแต๊ๆ
พ่อหมีอู้กำเมืองถามไถ่ ได้ความว่า ปกติจะขายอยู่ที่เจียงใหม่
แต่มาขายที่กรุงเทพฯชั่วคราว เพื่องานนี้โดยเฉพาะ

อาหารบางอย่าง ... แอบราคาแพงนิดหน่อย
ถ้าเทียบกับราคาขายที่เชียงใหม่จริงๆ

++ เห็นไส้อั่ว แว๊บๆๆ ++
แต่ถือว่ารับได้ เพราะอาหารบางอย่าง
หาทานยากในภาคกลาง ... ไม่ค่อยจะเจอบ่อยนัก

... น้อยครั้งนัก ...
ที่จะมีหลายๆอย่างๆ มาให้เลือกซื้อในบริเวณพื้นที่เดียวกัน

ประเดิม อาหารจานแรก ด้วย
”หน่ออั่ว” (30.- บาท)
เป็นหน่อไม้ ยัดไส้หมู ... ราดน้ำจิ้ม
อีก 1 เมนูโปรดของเราค่ะ

++ หน่ออั่ว ++

เดินวนๆรอบงานอยู่พัก ของกินเริ่มล้นมือ
เลยไปจับจองพื้นที่โตก นั่งทานกันเป็นเรื่องเป็นราว

มีทั้ง”น้ำพริกอ่อง” ที่เสริ์ฟพร้อมผัก และข้าวเหนียวในห่อใบตอง
ดูกระจุ๋มกระจิ๋ม น่ารักดี

“ข้าวเงี๊ยว” และ “ข้าวซอย”
ตามด้วยไก่ทอด และน้ำตะไคร้ ในกระบอกไม้ไผ่



และเก็บตกปิดท้าย ด้วย”ไข่ป่าม”
ปิ้งร้อนๆ บนเตาไฟ

นอกจากอาหารการกินแล้ว
เขายังมีร้านค้าสไตล์ภาคเหนือ อีกเล็กน้อย
อย่างเสื้อผ้า ... ภาพวาด ... ร่มกระดาษ





 @ YENTA 4 TWO TONE @ จุดขายของร้านนี้ ... อยู่ที่ความแตกต่างไม่เหมือนใคร
โดยการใช้
”ดอกอัญชัน” มาผสมทำน้ำเย็นตาโฟ
ให้เป็นสีม่วงอมน้ำเงิน หรือ
”สีน้ำทะเล”ค่ะ

ใส่เครื่องมาเต็มชาม ทั้งปลาหมึก – กุ้ง ... ในราคาเพียงแค่ชามละ 30 บาท
แถมเสริ์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดซะด้วย
^^

++ เย็นตาโฟสีน้ำทะเล จากดอกอัญชัน ++

แต่โดยส่วนตัวแล้ว ... รสชาติยังไม่โดนใจเราเท่าไหร่
เหมือนกับที่เคยอ่านคอมเม้นท์มาก่อนหน้านี้
ว่า รสชาติของเย็นตาโฟสีแดง อร่อยกว่า

แต่มาถึงที่แล้ว ก็ขอลองชิมเมนูอื่นดูบ้าง
ไม่ว่าจะเป็น
”บะหมี่แห้งหมูหวาน”และ “ขนมจีนซาวน้ำ”

++ บะหมี่แห้งหมูหวาน ++

++ ขนมจีนซาวน้ำ ++


ตัวเลือกของเมนู ถือว่าหลากหลายทีเดียว
ที่สำคัญหน้าตาน่าทาน เชิญชวนให้ลิ้มลองจริงๆ

ไม่เว้นแม้แต่เครื่องดื่ม
อย่างชาเย็น และโอเลี้ยง ... ดับกระหาย คลายร้อน



ทั้งหมดนี้ 4 จาน + น้ำ 2แก้ว
สนนราคาค่าเสียหายเพียงแค่ 150 บาทเท่านั้น


ไม่แพงเลยค่ะ ... สำหรับก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 บาท
แต่ให้เครื่องแบบเต็มที่ไม่มีหวง ไหนจะน้ำจิ้ม ที่เสริ์ฟให้ต่างหากอีก



ส่วนเครื่องดื่ม ก็ราคาแก้วละ 15 บาทค่ะ
ใครมีโอกาสผ่านไป ก็แวะไปลองชิมได้ตามอัธยาศัยนะคะ


 
@ YENTA 4 TWO TONE @

เปิดบริการ 0830 – 1600 น.



 
@ YENTA 4 TWO TONE. CHA-AM
Mon., 19 Jul.'10

เรื่องสุดท้าย ผมว่าน่าสนใจ



เจ้านายในราชวงศ์จักรีพระองค์น้อยๆ ที่หลายท่านอาจจะยังไม่รู้จัก


          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ โสภางคทัศนียลักษณ์ อัครวรราชกุมารี ทรงเป็นพระธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ประสูติเมี่อวันที่12 สิงหาคม พ.ศ. 2421 สึ้นพระชนม์ในวันที่31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 เจ้าฟ้าหญิงฯ ทรงมีพระอนุชาหรือพระขนิษฐาซึ่งสิ้นพระชนม์พร้อมกันในครรภ์พระมารดา 1 พระองค์ ที่มาของพระนามนั้นมาจากพระตำหนิที่มีติ่งงอกมาจากพระกรรณด้านขวาของพระธิดานั่นเอง



              สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง ทรงเป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประสูติเมื่อวันพุธ แรม 5 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2424 เป็นพระราชบุตรองค์ที่ 36 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2430 รวมพระชันษา 6 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนขึ้นและพระราชทานชื่อถนนว่า "ถนนตรีเพชร" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพชรุตม์ธำรง พระราชโอรส



            สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านภาจรจำรัสศรี (5 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2432) พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ประสูติเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก ฉศก จุลศักราช 1246 ตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 เป็นพระราชบุตรองค์ที่ 45 ทรงสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2433
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านภาจรจำรัสศรี



          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ พระราชธิดาใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2421 มีพระนามเต็มว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย ประไพพรรณพิจิตร นริศราชกุมารี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2430 ชาววังออกพระนามว่า "ทูลกระหม่อมหญิงใหญ่"[1]
          ทรงสิ้นพระชนม์ในวัยเพียง 8 พระชันษา สมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถจึงทรงนำทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระธิดามาสร้างเป็นถนน โดยพระราชทานนามว่า "พาหุรัด" เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระธิดาอันเป็นที่รัก
          ในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการสถาปนาพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายในที่ "กรมพระ" มีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย ประไพพรรณพิจิตร์ นริศรราชกุมารี กรมพระเทพนารีรัตน์[2] เจ้าฟ้าพาหุรัดมีมัยนั้น เมื่อยังเสด็จดำรงพระชนม์อยู่ ทรงมีมารยาทเรียบร้อยเป็นอันดีสมควรกับขัตติยราชกุมารี เป็นที่เสน่หาปราโมทย์แห่งพระประยูรญาติทั้งปวงยิ่งนัก



             สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ หรือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ ทรงเป็นพระราชธิดาลำดับที่ ๖๕ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประสูติใน สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ และประชวรด้วยพระอาการอักเสบที่พระบัปผาสะ สิ้นพระชนม์อย่างกระทันหันเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ เมื่อทรงมีพระชันษา ๑๑ พรรษา มีพระนามเดิมว่า"สมเด็จเจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี"และต่อมารัชกาลที่ ๖ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สถาปนาเป็น มีพระนามตามจารึกพระสุพรรณบัฏ"สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี"



      พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี ทรงเป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ - เป็นเจ้านายพระองค์แรกและเป็นคนไทยคนที่ ๒ ที่จบการศึกษาในวิชาระดับปริญญาเอก พระนาม "ดิลกนพรัฐ" หมายถึง "ศรีเมืองเชียงใหม่"
      พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี [2] พระนามเดิม พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ พระราชโอรสองค์ที่ ๔๔ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ เจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกษร ณ เชียงใหม่ เจ้านายฝ่ายเหนือใน "ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน)" ประสูติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ในพระบรมมหาราชวัง
     ขณะที่มีพระชนมายุได้เพียง ๑๖ พรรษา เจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกษร ณ เชียงใหม่ พระมารดาก็ได้ถึงแก่พิราลัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๓ เป็นต้นมา จึงทรงอยู่ในความดูแลของ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา
พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้ทรงเสกสมรสกับ เจ้าหญิงศิริมา ณ เชียงใหม่ พระญาติซึ่งกล่าวกันว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองเหนือที่มีพระสิริโฉมยิ่งนัก ทรงครองรักอยู่ได้ไม่นาน พระชายาก็ถึงแก่พิราลัยอย่างกระทันหัน ด้วยทรงเป็นตะคริวขณะกำลังสรงน้ำในสระน้ำภายในพระราชวังดุสิต พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ทรงเสียพระทัยอย่างมิอาจจะหักห้ามได้ ทรงประชวรหนักและท้ายที่สุดได้ทรงตัดสินพระทัยปลงพระชนม์เองด้วยพระแสงปืนในวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๕ หลังจากทรงกรมได้เพียง ๒ เดือนเท่านั้น สิริพระชนมายุ ๒๘ พรรษา






          พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนพีสี ¹(อ่านว่า วิ-มน-นาก-นะ-พี-สี) หรืออีกพระนามในหมู่ข้าราชบริพารว่า เสด็จเจ้าน้อย พระราชธิดาพระองค์เดียวใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติกับ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี
ประสูติเมื่อวันพุธ เดือน ๑๑ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีฉลูเอกศก จ.ศ. ๑๒๕๑ ตรงกับวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2432 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๖ ค่ำ ปีมะโรงจัตวาศก จ.ศ. ๑๒๕๔ ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2435 สิริพระชันษา ๔ ปี
         เสด็จเจ้าน้อย ทรงเป็นที่โปรดปรานฯ ใน พระราชบิดา ยิ่งนัก ด้วยทรงเป็นเจ้าหญิงพระองค์น้อยที่ฉลองพระองค์ซิ่นแบบเจ้านายเมืองเหนือตลอดเวลา การสิ้นพระชนม์ของพระราชธิดาพระองค์เดียวในครานี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสียพระทัยยิ่งนัก ทรงมีรับสั่งกับ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวโทษพระองค์เอง ว่า "ทรงเสียพระทัยยิ่งนัก ที่ทรงมิได้ตั้งพระธิดาให้เป็น "เจ้าฟ้า" เป็นเหตุให้พระธิดาสิ้นพระชนม์" ส่วน พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ผู้เป็นพระราชมารดา คงมิต้องบรรยายความรู้สึกว่าทรงเสียพระทัยเพียงใดออกมาได้ ทรงทำลายภาพพระฉายาทิสลักษ์หมู่ ๓ พระองค์ระหว่าง พระราชสวามี ตัวพระองค์เอง และ พระราชธิดา ทิ้งเสียตั้งแต่บัดนั้น
        ปัจจุบัน พระอัฐิของ เสด็จเจ้าน้อย ได้อัญเชิญประดิษฐานอยู่คู่กับพระอัฐิของ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี พระมารดา ณ กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ วัดสวนดอกวรมหาวิหาร และ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น